ในโลกยุคปัจจุบันที่มีเกมส์สุดมันส์กราฟฟิกสุดเจ๋งให้เราเล่นกันอย่างมากมาย แต่เราเคยได้คิดย้อนกันกลับไปรึเปล่าว่ากว่าจะมาเป็นเกมส์ยุคปัจจุบันนั้น วิวัฒนาการของเครื่องเล่นเกมส์ (console game) ในยุคต่างๆ นั้นเป็นอย่างไร วันนี้แอดมินจะพาทุกคนไปรู้จักกับเครื่องเล่นเกมส์ในแต่ละยุคว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรและมีการพัฒนาขึ้นอย่างไรบ้างครับ ถ้าพร้อมแล้วหละก็ไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ 🙂
ก่อนอื่นเลยเราอยากอธิบายคำว่า เครื่องเล่นเกมส์ ให้ทุกคนได้เข้าใจกันมากขึ้นก่อนนะครับ ความหมายของ เครื่องเล่นเกมส์ หรือ เครื่องเล่นวีดีโอเกมส์ (Video game console) คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทหนึ่งที่ใช้ในการเล่นวิดีโอเกม โดยแสดงผลภาพผ่านทางหน้าจอภายในเครื่องเล่น หรือ จอโทรทัศน์ และมีปุ่มกดเพื่อให้เกิดการแสดงผลในตัวเกมส์ แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
- เครื่องเล่นเกมคอนโซล (Console game) เป็นเครื่องเล่นเกมที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ พกพาไปไหนอาจจะไม่สะดวกมาก ต้องใช้งานร่วมกับจอแสดงผล เช่น จอโทรทัศน์ โดยส่วนใหญ่จะไว้ใช้เล่นได้เฉพาะที่ เช่น ภายในบ้าน ภายในคอนโด ครับ
- เครื่องเล่นเกมแบบพกพา (Portable game) เป็นเครื่องเล่นเกมส์ที่มีขนาดเล็ก พกพาไปไหนได้สะดวก ไม่ต้องเชื่อมต่ออุปกรณ์อะไรเพิ่มเติมก็สามารถเล่นได้ครับ
ตอนนี้ทุกคนคงได้รู้จักกับคำว่า เครื่องเล่นเกมส์ กันมากขึ้นแล้วนะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเรามาเริ่มดูวิวัฒนาการของ อุปกรณ์เปลี่ยนโลกชนิดนี้กันดีกว่า โดยเริ่มยุคแรกเริ่มนั้นเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1970 ครับ (แอดมินขอแนะนำเฉพาะรุ่นที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันนะครับ เพราะมันมีมากเกินไปที่จะเอามาให้ดูทั้งหมดจริงๆ)
ปล. แอดมินขอพูดถึงเฉพาะเครื่องที่เป็น Console game นะครับ
ก่อนเราจะมาเริ่มกันขอเสริมอีกนิดนึงนะครับว่ายุคสมัยของเครื่องเล่นเกมส์นั้นแบ่งออกเป็น 8 ยุคด้วยกันนะครับ เริ่มต้นในปี 1972 มาจนถึงปัจจุบันครับ (ซึ่งในแต่ละยุคอาจมีปีที่ซ้อนทับกันอย่าแปลกใจนะครับ ที่ปีทับกันเพราะเครื่องเล่นเกมส์ในยุคนั้นๆ ยังถูกผลิตหรือถูกนำมาเล่นอยู่ครับ)
ยุคที่ 1 (1972–1977)
Magnavox Odyssey (1972)
เจ้าเครื่อง Magnavox Odyssey (แม็กนาวอกซ์โอดีสซี) ถือได้ว่าเป็นเครื่องเล่นเกมส์คอนโซลเครื่องแรกของโลกบรรพบุรุษแห่งเครื่องเล่นเกมส์ทั้งปวงเลยครับ ผลิดขึ้นโดยบริษัท Magnavox ชื่อเดียวกับตัวเครื่องเลยในปีค.ศ. 1972 โดยเป็นเครื่องเล่นเกมส์เครื่องแรกที่ต้องเสียบเข้ากับโทรทัศน์ โดยมีเกมส์ให้เล่นถึง 12 เกมส์ด้วยกัน แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เครื่องเล่นเกมส์นี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าที่ควรครับด้วยปัญหาหลายประการ แต่ก็ถือว่าประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกเจ้าเครื่องนี้ไว้อย่างแน่นอนครับ โดยปัจจุบันนี้เครื่องต้นแบบของเจ้า Magnavox Odyssey ถูกเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์สมิธโซเนียน ในรัฐวอร์ชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเจ้าเครื่องนี้มียอดขาย 330,000 เครื่องครับ
Pong (1972)
เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ Magnavox Odyssey เลยครับ กับเจ้า Pong (ป็อง) ผลิตขึ้นโดยบริษัท Atari ในปีค.ศ. 1972 เช่นเดียวกันครับ มีลักษณะเป็นเครื่องคอนโซลที่นำมาต่อกับจอโทรทัศน์แต่ได้รับความนิยมมาทำเป็นตู้เกมส์ครับ เหตุผลที่เราต้องเอามาพูดถึงก็เพราะว่ามันประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในเชิงพาณิชย์ (ขายดีมากครับ) โดยเกมส์ที่ถือเป็นตัวชูโรงของเครื่องนี้คือเกมส์ตีปิงปองตามชื่อของเครื่องเลยครับ ก่อนจะมีเกมส์อื่นๆ ออกตามมาอีกมากมายเลย ถือได้ว่าเครื่อง Pong นั้นถูกพูดถึงอย่างมากในยุคนั้น รวมไปถึงถูกนำไปลอกเลียนแบบเพื่อสร้างเครื่องเล่นเกมส์ในยุคนั้นอีกหลายเครื่องเลยครับ เป็นที่น่าเสียดายที่แอดมินไม่สามารถหาข้อมูลยอดขายจำนวนเครื่องของเจ้า Pong ได้ครับ
ยุคที่ 2 (1976–1984)
Atari 2600 (1977)
จริงๆ เครื่องเล่นเกมส์ที่ใช้ชื่อวา Atari มีหลายรุ่นมากๆ ครับแต่เราขอหยิบยกเจ้า Atari 2600 มาพูดถึงเพราะว่าเป็นรุ่นแรกสุดของซีรีย์ Atari ครับ แล้วก็แน่นอนว่าผู้ผลิตก็คือ บริษัท Atari เจ้าเก่าเจ้าเดิมนั่นเองครับ ถือเป็นการต่อยอดจากเครื่อง Pong ที่ทำรายได้อย่างถล่มทลาย ถูกวางขายในปีค.ศ. 1977 โดยเป็นเครื่องคอนโซลที่ต้องเสียบเข้ากับจอโทรทัศน์ครับ จุดเด่นของเจ้าเครื่องนี้อยู่ที่จอยบังคับที่ทำออกมาเป็นสไตล์ตู้เกมส์กดในยุคนั้น และที่สำคัญอีกอย่างก็คือเจ้าเครื่องนี้ถือเป็นเครื่องเล่นเกมส์รุ่นแรกๆ เลยที่สามารถเปลี่ยนตลับเกมส์ได้ครับ เกมส์ที่ได้รับความนิยมของเครื่องนี้ส่วนใหญ่เป็นเกมส์แนวบังคับยานยิง และเกมส์แนว puzzle ครับ เจ้าเครื่องนี้ก็ยังได้รับความนิยมถล่มทลายต่อเนื่องทำยอดขายได้ถึง 27.64 ล้านเครื่องเลยครับ
ยุคที่ 3 (1983–1992)
Famicom (1983)
เชื่อว่าเจ้าเครื่องนี้คงคุ้นหูทุกคนกันเป็นอย่างดีแล้วน่าจะเคยเล่นกันแทบทุกคนนะครับกับเจ้าเครื่อง Famicom (แฟมิคอม) ผลิตขึ้นในปีค.ศ. 1983 ชื่อ Famicom นั้นมาจากคำว่า Family Computer ครับ หรืออีกชื่อที่คนไทยคงคุ้นหูกันดีก็คือชื่อ แฟมมิลี่ ครับ ผลิตขึ้นโดยบริษัท Nintendo บริษัทด้านเกมส์ยักษ์ใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นในปัจจุบัน ถือเป็นรุ่นต้นกำเนิดของโมเดลนี้ที่มีออกตามมามากมายอีกหลายรุ่นโดยใช้ชื่อนี้ สิ่งหนึ่งที่เครื่องนี้ต่างจากเกมส์ในยุคก่อนหน้าคือเป็นเครื่องเล่นเกมส์แบบ 8 บิต ครับ โดยในช่วงแรกที่ออกมาวางจำหน่ายนั้นก็มีปัญหาเกี่ยวกับด้านเมนบอร์ดทำให้ต้องเรียกคืนสินค้ามาแก้ปัญหาในเรื่องนี้ หลังจากกลับมาวางจำหน่ายเจ้าเครื่อง Famicom นั้นสามารถสร้างรายได้ถล่มทลายให้กับบริษัท โดยมียอดขายสูงถึง 2.5 ล้านเครื่องภายในเวลาแค่หนึ่งปี และมียอดขายรวมได้ถึง 61.91 ล้านเครื่องเลยครับ ขอเสริมข้อมูลให้เจ้าเครื่องนี้อีกนิดนึงนะครับ โดยจะเรียกเจ้าเครื่องนี้ว่า Nintendo Entertainment System (NES) ก็ได้ครับ คือเครื่องเดียวกันนะแต่ใช้ต่างชื่อกันในการทำการตลาดครับ (Famicom ตลาดในญี่ปุ่น ส่วน NES ตลาดในอเมริกานะ)
ยุคที่ 4 (1987–1996)
Sega Megadrive (1988)
หลังจากปล่อยให้ Nintendo และเครื่อง Famicom ครองตลาดอยู่นาน ก็มีเครื่องเล่นเกมส์ที่ออกมาเขย่าบัลลังก์ นั่นก็คือเครื่อง Megadrive (เมกาไดร์ฟ) ที่ผลิตโดยบริษัท SEGA ในปีค.ศ.1988 ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องเล่นเกมส์ระดับ 16 บิตเครื่องแรกๆ ของโลกเลยด้วยนะครับ ด้วยกราฟฟิกที่มีความสมจริงกว่าแบบ 8 บิตเป็นอย่างมาก ทำให้เจ้าเครื่องนี้สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนในยุคนั้นเป็นอย่างมากเลยครับ แต่ในช่วงแรกๆ นั้นยอดขายของเจ้า Megadrive ก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไรถ้าเทียบกับ Famicom ที่เป็นเจ้าตลาดอยู่ในขณะนั้น แต่การที่ SEGA เลือกนำไปวางขายในตลาดอเมริกาโดยใช้ชื่อว่า Sega Genesis และการซื้อลิขสิทธ์กีฬาดังต่างๆ ของอเมริการวมไปถึง port เกมส์จากเครื่อง PC ในยุคนั้นมาลงด้วยทำให้มีหลายเกมส์ที่หาเล่นไม่ได้ใน Famicom รวมไปถึง Nintendo ไม่ได้ออกเครื่องเล่นเกมส์รุ่นใหม่มานานหลายปีทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดตกลงมาสู่ Megadrive ได้ไม่ยาก โดยเจ้าเครื่องนี้นั้นมียอดขายถึง 40 ล้านเครื่องเลยนะครับ
Super Famicom (1990)
หลังจากปล่อยให้ทาง SEGA ตีตลาดอยู่พักใหญ่ทาง Nintendo ก็พร้อมออกหมัดเด็ดออกมาสวนทาง SEGA ครับ โดยได้ทำการปล่อยเครื่อง Super Famicom (ซูเปอร์ แฟมิคอม) ออกมาวางจำหน่ายในปีค.ศ. 1990 ซึ่งเป็นเครื่องเ่ลนเกมส์แบบ 16 บิต เพื่อมาทวงคืนส่วนแบ่งทาการตลาดคืนจากทาง SEGA ครับ โดยจุดเด่นอยู่ตรงที่ สีของภาพ รวมไปถึง เสียงของเกมส์นั้น ถูกพัฒนาออกมาอย่างดีกินขาดรุ่นอื่นๆ ในยุคนั้นเลยครับ ในการเปิดขายไม่กี่ชั่วโมงแรกที่ญี่ปุ่น มียอดขายถึง 300,000 เครื่องเลยครับ สูงมากจริงๆ โดย Nintendo ก็ได้ทำการเจาะตลาดอเมริกาต่อทันทีใช้ชื่อว่า Super Nintendo Entertainment System (SNES) ครับ รวมทั้งหมดแล้วเจ้าเครื่องนี้มียอดขายถึง 49.10 ล้านเครื่องครับ ทำให้ Nintendo กลับมาครองเบอร์หนึ่งส่วนแบ่งทางการตลาดของคอนโซลเกมส์ได้อย่างสง่าผ่าเผยอีกครั้งหนึ่ง
ยุคที่ 5 (1993–2006)
PlayStation (1994)
และแล้วก็มาถึงเครื่องเล่นเกมส์ที่ทุกคนคงรู้จักหรือคุ้นชื่อ รวมไปถึงน่าจะเคยเล่นกันเป็นอย่างดี รวมไปถึงยังเป็นเครื่องคอนโซลที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและสามารถต่อสู้แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกับสองค่ายเกมส์ยักษ์ใหญ่ในยุคนั้นทั้ง Nintendo กับ SEGA ได้อย่างสูสีครับ แน่นอนว่าจะเป็นเครื่องอะไรไปไม่ได้นอกจาก PlayStation (PS1) (เพลย์สเตชั่น) จากบริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ยักษ์ใหญ่อย่าง Sony ครับ เปิดตัวในปีค.ศ. 1994 เป็นเครื่องเล่นเกมส์แบบ 32 บิต ที่มีความละเอียดสูงขั้นเป็นเท่าตัว โดยมีสิ่งที่แตกต่างจากเครื่องเล่นเกมส์อื่นในยุคนั้นอย่างชัดเจนตรงที่เกมส์ที่ใช้เล่นนั้นจะเป็นแบบใช้แผ่น CD ครับ ซึ่งเครื่องในยุคก่อนหน้านั้นจะเป็นแบบตลับ (จริงก็มีแบบใช้ CD นะแต่ส่วนใหญ่จะเป็นแบบอุปกรณ์เสริมถึงจะเล่นได้) ถือว่าเป็นเครื่องเล่นแบบใช้ CD ล้วนเครื่องแรกๆ เลย เนื่องจากใช้แผ่น CD ในการเล่นทำให้ความละเอียดในด้านต่างๆ ของตัวเกมส์เพิ่มขึ้นจากแบบตลับเป็นอย่างมากครับ ถือว่าเป็นการปฏิวัติวงการเกมส์ในยุคนั้นได้เลย (เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานยังไม่เวอร์เกินจริงเลย) และยิ่งตอบรับว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเป็นความจริงด้วยยอดขายถึง 102.49 ล้านเครื่องเลยครับ
ยุคที่ 6 (1998–2013)
PlayStation 2 (2000)
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมากกับเครื่อง PlayStation ที่สามารถชิงส่วนแบ่งทางการตลาดมาได้อย่างดงาม Sony ก็ไม่หยุดยั้งได้พัฒนาซีรีย์ต่อยอดออกมานั่นก็คือเครื่อง PlayStation 2 (PS2) (เพลย์สเตชั่นทู) ออกวางขายในปีค.ศ. 2000 ครับผม ซึ่งพอออกมาวางขายปุ๊ป ก็สามารถทำยอดขายได้อย่างถล่มทลายปั๊ป ขายดีขนาดที่ในช่วงแรกของถึงกับขาดตลาดผลิตไม่ทันกันเลยทีเดียว โดยเจ้าเครื่องนี้ยังสามารถเล่นเกมส์ต่างๆ ที่มาจากเครื่อง PlayStation รุ่นเก่าได้อีกด้วย สิ่งที่ถูกพัฒนามากกว่ารุ่นก่อนก็คือการใช้แผ่น DVD ซึ่งมีคามจุมากกว่าแผ่น CD มากทำให้สามารถจัดเต็มเรื่องกราฟฟิกที่มีความละเอียดสูงขึ้นไปอีกหลายขั้นมากๆ ครับ โดยการผลิตในช่วงแรกนั้นตัวเครื่องนั้นมีความหนาและน้ำหนักที่ค่อนข้างจะมาก จึงได้มีการพัฒนาต่อจนได้แบบที่เป็นเครื่องที่มีขนาดบางลงเป็นอย่างมากแต่ยังมีประสิทธิภาพที่ดีเหมือนเดิม ซึ่งถือได้ว่าเจ้า PS2 เป็นเครื่องเล่นเกมส์ระดับตำนานที่มีเกมส์ยอดฮิตมากมายอีกเครื่องหนึ่งเลยขนาดที่ในปัจจุบันยังมีคนเล่นกันอยู่เลยครับ (แอดบอกเลยว่านี่เป์็นคอนโซลเกมส์เครื่องแรกในชีวิตของแอดเลยด้วยนะคลาสสิกสุดๆ ฮ่า ฮ่า) โดยทำยอดขายได้ถึง 143.8 ล้านเครื่องเลยทีเดียวครับ
XBox (2002)
ในยุคที่เรียกได้ว่าเครื่องเล่นเกมส์ PlayStation ครองตลาดได้อย่างเหนียวแน่นก็ได้มีบริษัทยักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่งลิตเครื่องเกมส์คอนโซลออกมาท้าชนกับทาง Sony ที่เป็นเจ้าตลาดในขณะนั้น บริษัทนั้นก็คือบริษัทผลิตและพัฒนา software รายใหญ่ของโลก ที่ทุกคนคงรู้จักกันดี Microsoft นั่นเองครับผม โดยได้เปิดตัวเครื่อง XBox (เอกซ์บอกซ์) อย่างเป็นทางการในปีค.ศ. 2002 ซึ่งถ้าเราเทียบด้านประสิทธิภาพนั้นถือว่ามีความใกล้เคียงกับ PS2 แต่เรื่องยอดขายนั้นกลับสู้เจ้าตลาดอย่าง Sony ไม่ได้เลยครับ โดยทำยอดขายได้ 24 ล้านเครื่อง ซึ่งเป็นตัวเลขที่ห่างไกลกับ PS2 เป็นอย่างมากแต่อย่าคิดว่า Microsoft จะยอมแพ้แค่นี้นะครับ
ยุคที่ 7 (2005–present)
Xbox 360 (2005)
Microsoft ได้ส่งเครื่องเล่นเกมส์รุ่นต่อมาออกมาก่อนคู่แข่งหลักอย่าง Sony ครับ โดยเครื่องนี้มีชื่อว่า XBox 360 (เอกซ์บอกซ์ทรีซิกซ์ตี้) ครับผม วางจำหน่ายในปีค.ศ. 2005 โดยสิ่งที่แตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างชัดเจนคือระบบกราฟฟิกที่เป็นแบบ HD ซึ่งมีความละเอียดสูงกว่าที่ผ่านๆ มาเป็นอย่างมากครับ อีกสิ่งนึงที่ถูกพัฒนาขึ้นจากแต่ก่อนคือระบบสำหรับเล่นเกมส์ในรูปแบบ online ผ่านการเชื่อมต่อ internet โดยตรงได้เลยซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลกใหม่ในยุคนั้นที่เกมส์ online ส่วนใหญ่เป็นเกมส์ที่อยู่ในเครื่อง PC ทำให้ได้รับความนินมสูงขึ้นจากเครื่อง XBox รุ่นแรกเป็นอย่างมากสามารถทำยอดขายได้ถึง 84 ล้านเครื่องเลยครับ ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ทำให้ Microsoft กลายเป็นหนึ่งในมหาอำนาจทางการตลาดหนึ่งในสามรายใหญ่ในปัจจุบันเลยด้วยนะ
PlayStation 3 (2006)
หลังจากปล่อยให้ Microsoft ออกเครื่องรุ่นใหม่มาก่อนเกือบๆ หนึ่งปี ทาง Sony ก็ได้ปล่อยอาวุธหนักออกมาต่อกรครับนั่นก็คือเครื่อง PlayStation 3 (PS3) (เพลย์สเตชั่นทรี) ถือเป็น Generation 3 ของเครื่องตระกูลนี้แล้วในปีค.ศ. 2006 นอกจากภาพกราฟฟิกที่ถูกยกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งในระดับ HD รวมไปถึงระบบที่รองรับกับเกมส์ที่มีระบบ online แล้วสิ่งหนึ่งที่มีความแปลกใหม่จาก PS2 คือระบบ memory ที่เปลี่ยนจากการต้องเสียบเมม เป็นเมมที่อยู่ภายในตัวเครื่องเลยซึ่งดีกว่าแบบเก่ายังไง ดีกว่าตรงที่มีความจุมากกว่ามากๆ และ โอกาสที่เมมจะสูญหาย หรือ เมมพังจนเก็บข้อมูลไม่ได้ น้อยกว่ามากครับ หลังจากที่เปิดตัวออกมาก็ได้รับความนิยมอีกเช่นเคยครับ แต่ยอดขายอาจจะไม่สูงเท่ากับ PS2 โดยเจ้า PS3 นั้นทำยอดขายได้ 80 ล้านเครื่อง ถือว่ายังรักษาความเป็นมหาอำนาจแห่ง console game ได้ต่อไป
Wii (2006)
หลังจากปล่อยให้ Sony และ Nintendo ครองตลาดอยู่นานค่ายเกมส์ในตำนานอย่าง Nintendo ได้กลับมาทวงส่วนแบ่งทางการตลาดอีกครั้งนั่นก็คือเครื่อง Wii (วี) ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีนั่นเองครับ โดยสิ่งที่แตกต่างจากเครื่องเล่นเกมส์แบบอื่นๆ อย่างชัดเจนเลยคือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบังคับจะไม่ใช่ joy stick แบบเครื่องอื่นๆ แต่จะอุปกรณ์ที่เรียกว่า Wii Remote ที่จะทำให้การเล่นเกมส์ของเราแปลกใหม่ไปจากการกดเฉยๆ ไปเป็นการขยับร่างกายประกอบการเล่นไปด้วยครับ เหมือนเราได้ออกกำลังกายไปในตัวเลยครับ เป็นสิ่งที่แปลกใหม่มากๆ ในยุคนั้นทำให้เครื่อง Wii ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทำยอดขายได้ถึง 70.93 ล้านเครื่อง เรียกได้ว่า Nintendo สามารถกลับมายึดพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างงดงามเลยครับ
ยุคที่ 8 (2011–present)
Wii U (2012)
หลังจากกลับมาอย่างงดงามด้วยเครื่อง Wii ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Nintendo ก็ได้พัฒนาและส่งเครื่องรุ่นต่อมาอย่าง Wii U (วียู) ออกมาวางขายหวังทำการตลาดอย่างต่อเนื่องในปีค.ศ. 2012 ครับ โดยเป็นการยกระดับกราฟฟิกมาสู่ระดับ HD ครั้งแรกของ Nintendo ด้วย สิ่งที่เปลี่ยนไปนอกจากระดับของกราฟฟิกที่ดีขึ้นมากแล้วยังมีส่วนของ joy stick ที่ถูกเปลี่ยนจาก Wii Remote มาเป็นจอยที่มีปุ่มกดและหน้าจอแสดงผลอยู่ตรงกลางครับ ซึ่งถือว่าแหวกมากๆ เลย เราสามารถเล่นเกมส์ผ่านหน้าจอ หรือ จะต่อกับโทรทัศน์ก็ได้ครับ ทาง Nintendo คาดว่าเจ้าเครื่องนี้จะต่อยอดความสำเร็จแต่กลับไม่เป็นไปตามที่คาดครับ เพราะว่าทำยอดขายได้เพียง 13 ล้านเครื่องเท่านั้นเอง และในปัจจุบันทาง Nintendo ก็ประกาศเลิกผลิตอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้วด้วยครับ
PlayStation 4 (2013)
ปล่อยให้ Nintendo ออกตัวก่อนไม่นานทาง Sony ก็ส่งอาวุธชุดใหญ่จัดหนักจัดเต็มออกมาต่อกรนั่นก็คือเครื่อง PlayStation 4 (PS4) (เพลย์สเตชั่นโฟร์) เป็นเครื่อง Generation 4 ของครอบครัว PlayStation แล้วในปีค.ศ. 2013 แล้วก็จัดหนักจัดเต็มด้วยกราฟฟิกที่ถูกยกระดับขึ้นมาอีกขั้นเลยครับ ใครที่เคยเล่นก็คงจะรู้กันดีแอดคงไม่ต้องโฆษณาเยอะหรอกว่ามันดีขนาดไหน ฮ่า ฮ่า โดยเจ้า PS4 นั้นถูกแบ่งออกเป็นสองรุ่นในที่นิยมปัจจุบันครับ คือ Slim และ Pro (จริงๆ มีรุ่นที่เป็น original อีกรุ่นนึงด้วยนะ) ในปัจจุบันเกมส์ใหม่ๆ ที่ออกมาถูก port ลงเครื่อง PS4 แทบจะทุกเกมส์เลยและก็ไม่มีทีท่าว่าจะหมดลงในเร็วๆ นี้ทำให้เราเห็นได้ชัดเลยว่าเครื่องนี้ได้รับความนิยมขนาดไหน จะพูดว่าเป็นคอนโซลเกมส์ที่ฮอตฮิตที่สุดในปัจจุบันก็คงจะไม่เกินจริงเลยหละครับ ยอดขายอยู่ที่ 67.5 ล้านเครื่องครองส่วนแบ่งในการตลาดอย่างสูงต่อไปครับผม
Xbox One (2013)
ทาง Microsoft ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจปล่อยให้ Nintendo และ Sony ครองตลาดเกมส์คอนโซลอยู่แค่สองเจ้าหรอกครับ ได้ทำการปล่อยเครื่อง Xbox One (เอกซ์บอกซ์วัน) ออกมาเพื่อชิงพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาดแข่งกับอีกสองบริษัทในปีค.ศ. 2013 ครับ โดยจัดเต็มด้านกราฟฟิกอีกเช่นเคย โดยในปัจจุบันมีรุ่นที่เป็นรุ่นเสริมจากรุ่นออริจินอลออกมาอีกสองรุ่นแต่ก็ถือว่าเป็น Xbox One นะได้แก่รุ่น Xbox One X และ Xbox One S ครับ ก็เหมือนกับ PS4 ครับ ที่เกมส์ต่างๆ ก็ถูก port ลงเครื่อง Xbox One อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือได้ว่าเจ้าเครื่องนี้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้เครื่องที่เป็นเรือธงจากอีกสองค่ายเลยครับ ส่วนเรื่องยอดขายนั้นทาง Microsoft ไม่ได้ทำการออกมาเปิดเผย แต่คาดกันว่ายอดขายคงสูสีกับเครื่อง PS4 ของทาง Sony เลยครับ
Nintendo Switch (2017)
เดินทางมาถึงเครื่องสุดท้ายกันแล้วครับ ถือว่าเป็น console game ที่มีอายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน กับเครื่อง Nintendo Switch (นินเทนโดสวิตซ์) ที่ทาง Nintendo ส่งออกมาเพื่อสู้แย่งส่วนแบ่งทางการตลาดกับ Sony และ Microsoft อีกครั้งหลังจากควายพ่ายแพ้ของโปรเจคเก่าอย่าง Wii U โดยเจ้าเครื่องนี้วางขายในปีค.ศ. 2017 ครับ มีความโดดเด่นต่างจากเครื่งอื่นๆ คือสามารถเป็นได้ทั้งเกมคอนโซลที่ต้องต่อกับโทรทัศน์ และ เป็นเกมส์แบบพกพาที่เราสามารถนำไปเล่นที่ไหนก็ได้ครับ ล้ำสุดๆ ไปเลย ส่วนที่เป็นจอยสามารถแยกออกมาจากตัวเครื่องเพื่อนำไปใช้เล่นในขณะต่อกับโทรทัศน์ได้ครับ ซึ่งถือว่าการมาของ Nintendo Switch นั้นทำให้ตลาดของคอนโซลเกมส์กลับมาคึกคักและแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดอย่างดุเดือดกันอีกครั้ง แต่เนื่องจากมันเป็นเจนแรกของรุ่นนี้ทำให้อาจจะมีปัญหาหลายอย่างที่ขัดใจผู้ใช้อยู่บ้างแต่ในอนาคตทาง Nintendo คงออกมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ครับ สิ่งที่ตอกย้ำการกลับมาแล้วดูดีของ Nintendo Switch ในครั้งนี้คือยอดขายครับ ที่ขายได้ถึง 14.86 ล้านเครื่องในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีและมีแนวโน้มจะขายได้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ด้วยครับ
เป็นไงกันบ้างหละครับกับวิวัฒนาการของ Console Game สุดฮิตแต่ละรุ่นตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน หวังว่าจะให้ความรู้กับคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ รวมไปถึงจะได้รำลึกถึงความหลังในการเล่นเกมส์ในสมัยเด็กๆ ของใครหลายคนอีกครั้งด้วย วงการเกมส์ก็พัฒนาต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด ขอให้ทุกคนมีความสุขสนุกกับการเล่นเกมส์ครับผม 😀