เป็นที่รู้ๆ กันว่า เวลาที่ Pixel เปิดตัว ทาง Google จะเลี่ยงที่จะบอกข้อมูลสเปคทั้งหมด ทำให้ผู้บริโภคอย่างเราต้องมานั่งเซอร์ไพรส์กันตอนหลัง ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น (ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นการตกใจที่ดี) เนื่องจากพวกเขามองว่า ประสบกาณ์ที่ดีจะเกิดขึ้นจากการใช้งานจริง ไม่ใช่แค่เพียงสเปคเครื่อง!!
แต่จะสู้ยังไงไหว เมื่อคู่แข่งในครั้งนี้ แอบไปอัพเกรดตัวเองมาซะดิบดี ราคาถูกลง กล้องดีขึ้น ที่สำคัญยังมาในตรีม Dark Mode ใครเห็นก็ว่า Google คงต้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มชก!!! เพราะข่าวลือที่ปล่อยออกมาในช่วงเริ่มต้น ก็เป็นการยืนยันกลายๆ แล้วว่า Pixel4 นั้นมีดีแค่พอผ่าน ที่สำคัญแบตเตอรี่ยังใช้งานได้น้อยกว่าแบรนด์อื่นๆ
Pixel 4 มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 799 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 24,300 บาท มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.7 นิ้ว และความจุเพียง 64 GB?? ซึ่งน้อยมากๆ เมื่อเทียบราคาหลังหมื่นกับแค่ตัว hardware ที่ให้มา แต่อย่างเพิ่งด่วนตัดสินไป เพราะถ้าพูดถึง Software , camera และฟีเจอร์อื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามามากถึง 5 อย่างแล้วละก็ ไม่แน่ว่าเพื่อนๆ อาจจะเปลี่ยนใจ!!??
ว่าด้วยเรื่อง Design
ในปีนี้ Pixel 4 ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่ให้โดดเด่นกว่าเดิม เริมจากกรอบที่ใช้อลูมิเนียมเคลือบด้วยสีดำ ด้านหลังเป้นวัสดุเนื้อด้าน มีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ ดำ ขาว และส้ม ส่วนกล้องด้านหลังแม้จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมคล้ายกับ iPhone11 แต่ภาพรวมกลับมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ซึ่งเยี่ยมมากๆ ที่ Google เริ่มมีไอเดียสร้างสรรค์ที่สะดุดตา รู้จักการใช้วัสดุและสีสร้างความแปลกใหม่ให้กับโทรศัพท์
โทรศัพท์รุ่นใหม่นี้ ได้พยายามลบรอยหยักออกไปให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งจัดการกับพื้นที่หน้าจอใหม่ให้เป็นสัดส่วน เพื่อนเพื่มความสะดวกให้กับเพื่อนๆ เวลาใช้งาน โดยเหลือพื้นที่ด้านบนไว้สำหรับวางกล้องหน้า เพื่่อถ่าย Slefie และเข้าใช้งาน face unlock รวมไปถึง radar sensors
ส่วนจอแสดงผลของ Smartphone รุ่นนี้ ค่อนข้างจะกว้างเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าแทบติดกับขอบของตัวเครื่อง เทียบเท่ากับสัดส่วนของวีดีโอที่ iPhone สามารถทำได้
Face Unlock
คุณภาพและการทำงานของมันคล้าย iPhone11 สามารถปลดล็อคได้ในทุกสภาพแสง ที่สำคัญคือ เพื่อนๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนหัวหมอ เอารูปหรือวีดีโอของเรามาใช้แทนใบหน้าจริง อย่างกรณีที่เกิดขึ้นใน Samsung หรือ Oneplus
ซึ่งหากเพื่อนๆ เป็นสายข้อมูล จะรู้ว่าระบบ Face Unlock ของ Google เป็นอันดับต้นๆ ของ Android ก็จริง แต่เมื่อเทียบกับ Apple แล้ว จะรู้ว่าปลอดภัยน้อยกว่า(นิดหน่อย) เนื่องจากสามารถปลดล็อคเครื่องได้โดยเพื่อนๆ ไม่ต้องลืมตา หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ มันจะเป็นอันตรายทันทีหากมีใครบางคนย่องเข้ามาแอบใช้หน้าเรา ตอนกำลังหลับอยู่(โดยเฉพาะแฟน!!)
อย่างไรก็ดี ปัญหาข้างต้นกำลังแก้ไขเรียบร้อย โดย Google จะเปิด Option เสริม สำหรับเพื่อนๆ ที่ต้องการให้โทรศัพท์ปลดล็อกได้ก็ต่อเมื่อลืมตาเท่านั้น แต่ใครที่โนสนโนแคร์เพราะไม่มีอะไรต้องปิด ก็ไม่จำต้องใช้ตัวเลือกนี้ก็ได้
แม้ว่าระบบความปลอดภัยจะน้อยกว่านิดหน่อย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความสะดวกละก็ เจ้า Pixel4 กินขาด เพราะสามารถเข้ารหัสทุกอย่างได้ทันที ไม่ว่าจะปลดล็อคเครื่อง ซื้อสินค้า ฯลฯ โดยไม่ต้องเข้าหน้า Lock screen ใดๆ เพียงแค่ update ข้อมูลเข้ากับ app แอดเชื่อว่าถ้าได้ลองใช้จริง เพื่อนๆ จะลืมวิธีเข้ารหัสที่ต้องสแกนนิ้วหรือใส่ code แบบเดิมๆ ไปเลย
นอกจากนี้ Pixel 4 สามารถตั้งค่าไม่ต้อง Unlock (มันอ่านเราล่วงหน้า แล้ว unlock ให้เลย) ทุกๆ ครั้งที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อปลดล็อค Pixel 4 จะพาเพื่อนๆ ไปยังหน้าต่างที่ทำก่อนหน้า โดยไม่ต้องแตะหรือ Swipe หน้าจอใดๆ ช่วยประหยัดเวลาและป้องกันเพื่อนๆ ลืมไปว่า ตะกี้กำลังทำอะไรอยู่ (ใครไม่ชอบฟีเจอร์นี้ ก็สามารถเข้าแก้ไขได้ที่ setting)
Motion Sense
เป็นนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาโดย google ซึ่งกินเวลาเป็นปีๆ กว่าจะถูกปล่อยออกมาให้ได้ทดลองใช้ใน Smartphone ซึ่งในทางทฤษฎีมันจะทำงานร่วมกับ software ไว้ตรวจจับการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อน และแสดงผลออกมาอย่างมีประสิทธิภาพ (ว่ากันว่า สามารถตรวจจับได้แม้กระทั่งการเต้นของหัวใจ)
แต่เดี๋ยวก่อน กลับมาในความเป็นจริง ตัวระบบยังไม่ถูกพัฒนาไปไกลขนาดนั้น เพราะตอนนี้ Google ได้เลือกให้มีการตรวจจับการเคลื่อนไหวเพียง 3 รูปแบบเท่านั้น โดยหนึ่งในนั้นที่น่าจะถูกใช้บ่อยมากที่สุด คือการโบกมือเพื่อเปลี่ยนเพลงหรือลบหน้าต่างแอปฯ ซึ่งน่าเสียดาย ที่มันจะทำงานได้ดีเมื่อโทรศัพท์ถูกวางในแนวราบ และตรงกับเซ็นเซอร์ที่วางไว้
อย่างที่สองที่เจ้า Motion Sense สามารถทำได้ คือการตรวจสอบสถานะของเพื่อนๆ ว่าอยู่ใกล้กับอุปกรณ์หรือไม่ ถ้าเกิดเผลอลุกออกไปโดยลืมปิดหรือ lock หน้าจอไว้ มันจะดับลงเองโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่มีใครสามารถมาแอบดูข้อมูลส่วนตัวของเพื่อนๆ ได้ ที่สำคัญยังช่วยประหยัดแบตเตอรี่
รูปแบบสุดท้าย ที่ Pixel4 ทำได้ใน(ปัจจุบัน) คือการเริ่มกระบวนการบางอย่าง ก่อนที่นิ้วจะแตะโดนหน้าจอ เช่น เมื่อนาฬิกาปลุกดังหรือมีเสียงเรียกเข้า แค่เพื่อนๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู มันก็จะเงียบลงในทันที (และเพื่อนๆ ก็หลับต่อได้อย่างสบายใจ 555)
คุณภาพกล้อง
กว่า 3 ปีแล้ว หลังจากที่ Google ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า จะผลิตโทรศัพท์ซึ่งประกอบไปด้วยกล้องเลนส์เดียว แต่วันนี้พวกเขาเริ่มเปลี่ยนใจ และทดลองเพิ่มกล้องตัวที่สองลงไปใน Pixel4 เป็นครั้งแรก แต่มันออกจะสวนกระแสหน่อยๆ เพราะเลนส์ที่เพิ่มเข้ามาคือ 2X telephoto สำหรับการถ่ายภาพระยะไกล ในขณะที่เจ้าอื่นๆ จะเลือกเป็น ultrawide สำหรับการถ่ายในมุมกว้าง
ซึ่งก็พอเข้าใจได้ ด้วยการผสมผสานของเทคโนโลยี Super Res Zoom ที่เพิ่งเปิดตัวในปีที่แล้ว กับเลนส์ที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ทำให้การถ่ายภาพระยะไกลด้วยโทรศัพท์ โค-ตะ-ระ จะมีประสิทธิภาพมาก สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่าบริษัทอื่นๆ แม้ว่ามือของเพื่อนๆ จะสั่นอยู่ก็ตาม


Pixel 4 (บน) iPhone11 Pro (ล่าง) :ทั้งสองซูมด้วยกล้องถึง 8 เท่า
ดูจากตัวอย่างด้านบน จะรู้สึกได้ทันทีเลยว่า กล้องของ Pixel4 ดูเป็นธรรมชาติมากกว่า ทั้งสีและความชัด ในขณะที่กล้องของ iPhone11 Pro…. เอิ่ม ไม่ต้องพูดถึงละกัน
ลองกับคนไปบ้างแล้ว เราไปลองกับสิ่งก่อสร้างกันดีกว่า แนะว่าให้สังเกตุที่รูปปั้นและเมฆบนท้องฟ้าให้ดีๆ แล้วเพื่อนๆ จะเห็นความต่างของรูปทั้งสองอย่างชัดเจน


Pixe4(บน) ,iPhone11 Pro(ล่าง) (ซูม 8 เท่า ,cropped ภาพเพื่อให้เห็นความแตกต่าง)
แต่ครั้งจะพูดว่ากล้อง Pixel4 ดีกว่า iPhone11 ก็อาจจะยังพูดได้ไม่เต็มปากเท่าไร เพราะยังมีโหมดอื่นๆ ให้ทดสอบอยู่อีกเพียบ
มาลองดูในพื้นที่แสงปานกลางกันบ้าง ว่าปัจจุบันรุ่นไหนจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่ากัน (แต่แอดออกตัวไว้ก่อนเลยนะ ว่ารูปนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ Deep function เพิ่งถูกปล่อยออกมาไม่นาน)


Pixel 4 (บน); iPhone 11 Pro (ล่าง).
ถ้าพูดด้วยเรื่องความคมชัด ก็ต้องยอมรับกันตรงๆ ว่า iPhone11 Pro เป็นแชมป์ในหมวดนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือความแตกต่างของโทนสี โดย Pixel4 นั้นจะมีความ contrast มากกว่า ทั้งยังติดโทนแสงสีขาวและฟ้า จนเป็นเอกลักษณ์ของโทรศัพท์รุ่นนี้
***สรุป จุดแข็งของ Pixel4 คือ การซูมและ White Balance .ในขณะที่ iPhone สามารถเก็บรายละเอียดได้มากกว่า
ถ้าเพื่อนๆ ได้ลองถ่ายภาพด้วยตัวเอง จะพบว่าตัว Pixel4 นั้น สามารถควบคุม White Balance ได้ดีกว่า เนื่องจากอุปกรณ์สามารถระบุวัตถุต่างๆ ภายในเฟรม ทำให้ได้ข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการปรับสมดุลความสว่าง
โดยเทคโนโลยีการระบุวัตถุนั้น เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้เจ้า Smartphoe รุ่นนี้(และก่อนหน้า) สามารถถ่ายในที่มืดได้ เพียงเพื่อนๆ ปรับเป็นโหมด Night Sight (แตกต่างกับของ Apple ที่จะเปิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ)


Pixel 4 (บน); iPhone 11 Pro (ล่าง).
ภาพนี้ กล้องที่ถ่ายด้วย iPhone จะเก็บรายละเอียดของก้อนเมฆได้น้อยกว่านิดหน่อย ที่เหลือก็เป็นเรื่องของโทนสีที่ต่างกัน

ว่ากันว่ารูปนี้ถ่ายในพื้นที่ไม่ไกลตัวเมือเท่าไร ทำให้มีแสงรบกวนจนแทบมองไม่เห็นดวงดาว แต่ไม่มีปัญหาสำหรับ Pixel4 เลย
นอกจากนี้ Google ยังใช้กล้องตัวที่สองนี้ ในการพัฒนาการถ่ายภาพแบบ Portrait Mode ทำให้ประสิทธิภาพดีกว่ารุ่นเดิม แต่ยังสู้ Apple ไม่ได้ ที่สามารถจัดการกับพื้นหลังและเส้นผมได้ดีกว่า


Pixel 4 (บน); iPhone 11 Pro (ล่าง).
นอกจากนี้ Pixel4 ยังมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ ที่อนุญาติให้เพื่อนๆ สามารถเข้าไปปรับแต่งเงาของ HDR+ พร้อมกับความสว่างโดยรวม (แต่ต้องใช้ skill ในการเรียนรู้นิดหน่อย) ซึ่งจะช่วยให้ภาพมีติและน่าดึงดูดขึ้นมาในทันที


พูดถึงกล้องหลังกันไปตั้งเยอะ กลับมาที่กล้องหน้ากันบ้างดีกว่า สำหรับ Smartphone ตัวนี้ มันถูกตั้งค่าให้เก็บภาพ selfie ได้กว้างขึ้น จากเดิมเพียง 70 FOV เป็น 90 FOV ส่งผลให้เราเห็นวิวด้านหลังได้มากกว่าเดิม
เกือบจะดีอยู่แล้ว แต่ Pixel4 กลับมาพลาดท่าในเรื่องของการบันทึกวีดีโอ (เป็นจุดที่ Smart Phone Android ส่วนใหญ่ยังเทียบ Apple ไม่ได้) เพราะแม้จะมีความคมแบบ 4k ในอัตรา 30 FPS แต่พอพูดถึงการใช้งานก็ยังต้องน่าผิดหวัง เรียกแค่ว่าพอผ่านมาตรฐานแต่ยังไม่ถึงขั้นว้าว ว้าว ว้าว!!??
สงสัยรึเปล่าที่แอดเล่ามาทั้งหมด ยังไม่ค่อยพูดถึงตัว hardware กันเลย เนื่องจากส่วนตัวรู้สึกว่ามันไม่ต่างไปจากเดิมเท่าไร (เว้นก็แต่เลนส์และฟีเจอร์ที่เพิ่มขึ้นมา) เพราะหัวใจสำคัญอยู่ที่ระบบปฏิบัติการข้างใน หรือก็คือตัว (แบตเตอรี่!!! ไม่ใช่โว้ย) Software ต่างหาก

สเปคเครื่อง และคุณภาพของหน้าจอ
ถึงตัว CPU จะถูกอัปเกรดขึ้น แต่เจ้า Pixel4 ก็ยังไม่ใช่สมาร์ทโฟน Android ที่ประมวลผลได้ไวมากที่สุด (ไม่ต้องพูดถึงเมื่อคิดเอาไปเทียบกับ iPhone) ซึ่งถ้าไม่วัดกันเรื่องความเร็ว พูดกันแค่ส่วนของการใช้งาน โทรศัพท์รุ่นนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้การเล่นโทรศัพท์ของเพื่อนๆ นั้นไหลลื่นไม่มีสะดุด
พอรับได้กับตัว CPU แต่หากพูดถึงแบตเตอรี่ เรียกได้ว่าต่ำกว่ามาตรฐานสุดๆ มันมีความจุที่น้อยเกิ๊นนนนนน….สำหรับโทรศัพท์ที่มีขนาดหน้าจอ 5.7 นิ้ว ถ้าเอามาลองเล่นแบบเป็นจริงเป็นจัง จะใช้งานได้ประมาณ 4 ชม. เท่านั้น!! ซึ่งอาจจะพอสำหรับเพื่อนๆ ที่ไม่ชอบเล่นเกมหรือติด Social วิธีการแก้ปัญหาง่ายๆ (ด้วยเงิน) ก็คือ ให้เลือกซื้อเป็น Pixel4 XL (มันใช่เรื่องไหมเนี่ย) รับรองได้เลยว่า Smartphone จะสามารถใช้งานได้ตลอดทั้งวัน
แม้จะผิดหวังกันไปบ้างกับสเปคเบื้องต้นของ Smartphone รุ่นนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เป็นไฮไลท์คือ ความเร็วของ Ram 6GB ที่ Google ให้มา ซึ่งแก้ปัญหาจากอาการเครื่องค้างในรุ่นเดิม เวลาเข้าหรือปิดหลายๆ แอปฯ พร้อมกัน
ส่วนหน้าจอก็ไม่ต้องพูดถึง เห็นแล้วอยากอุทานเป็นชื่อสัตว์ เพราะพวกเขาเปิดโอกาสให้เพื่อนๆ ได้ใช้จอแสดงผลแบบ OLED ในราคาที่ประหยัด ทั้งสี มุมมอง และความละเอียด ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนเมื่ออยู่ในอาคาร หรือในพื้นที่แสงปานกลาง ไม่สว่างเกินไป ประกอบกับฟีเจอร์ Ambient EQ ที่ช่วยเพื่อปรับอุณภูมิของสีบนหน้าจอ ให้เหมาะสมกับห้องที่อาศัยอยู่ (คล้ายๆ True Tone ของแอปเปิ้ล แต่แอบมืดกว่านิดหน่อย)
ยังไม่หมดแค่นั้น(บอกแล้วว่าเยอะจริงๆ) อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ Pixel4 แตกต่างจาก Smartphone โดยทั่วไป คือ หน้าจอ 90Hz Refresh Rate ที่ทำให้การเคลื่อนไหวไหลลื่น โดยเฉพาะเวลาที่เพื่อนๆ เล่นเกม หรือเลื่อน scroll ขึ้นลง รับรองว่าไม่มีกระตุก ซึ่งปัจุบันหน้าจอแบบ 90Hz พบได้ในโทรศัพท์ Android เพียงไม่กี่รุ่น และบน iPad Pro เท่านั้น
แน่นอนว่าหน้าจอที่มี Refresh Rate สูงจะกินแบตฯ เป็นธรรมดา แต่ Google ก็ได้ออกแผนสำรองในการจัดการปัญหาดังกล่าวแล้ว ด้วยการตั้งค่าให้ระบบปรับคุณภาพของหน้าจอลงโดยโดยอัตโนมัติ ให้สอดคล้องกับกิจกรรมที่เพื่อนๆ กำลังทำ (แอปฯ ไหนไม่จำเป็นต้องใช้ Refresh Rate ก็ลดลงมาตามระดับ)
อัพเกรด Assistant ผู้ช่วยใหม่
Google ได้ออกแบบระบบปฏิบัติการใหม่ ให้ Assistant สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่ง internet (มีภาษาอังกฤษเป็นตัวนำร่อง) ไม่ว่าจะใช้ค้นหาแอปฯภายในโทรศัพท์ เปิดไฟฉาย เชื่อมต่อ Wi Fi ตั้งนาฬิกาปลุก ฯลฯ ก้สามารถทำได้ทันที
อีกสิ่งหนึ่งที่ Smartphone เครื่องนี้ทำได้ขณะที่ออฟไลน์อยู่ คือการเปลี่ยนเสียงจากภายนอก ออกมาเป็นกล่องข้อความภายในโทรศัพท์ ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า “Live Caption” ใช้ได้กับไฟล์เสียงเกือบทุกประเภท เว้นก็แต่กับเพลง ดังนั้นเพื่อนๆ ที่มีปัญหาการได้ยิน ก็จะสามารถใช้โทรศัพท์ได้เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วไป!! แม้จะมีดีเลย์ไปบ้าง แต่ก็ถือว่าได้ใจแอดไปเต็มๆ
Function ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง ก็คือการค้นหาช่วงเสียงที่อัด ดัวยการพิมพ์ประโยคที่ต้องการลงไป เพื่อนๆ จึงไม่ต้องเสียเวลาไปนั่งฟัง Record ทั้งหมด (กินเวลาเป็นนาทีหรือหลายชั่วโมงเพื่อหาคำที่ต้องการ) ทำให้มีเวลาเหลือไปทำอย่างอื่น โดยเฉพาะกับน้องๆ นักศึกษา ที่ชอบอัดเสียงอาจารย์ไปฟังเวลาติวก่อนสอบ
สุดท้ายนี้ สำหรับ Recorder ที่ Google ให้มา ยังสามารถแปลงเสียงที่อัดเป็นตัวอักษรได้ ซึ่งค่อนข้างแม่นยำกว่าแอปฯไหนๆ ที่สำคัญคือทั้งหมดที่แอดพูดมานั้น ไม่ต้องใช้อินเตอร์เน็ตเลยแม้แต่นิดเดียว!!!
จบกันไปแล้วกับ Function เกือบทั้งหมดที่ Pixel 4 สามารถทำได้ ซึ่งโดยส่วนตัว แอดรู้สึกชอบมันเข้าอย่างจังสำหรับราคาและการใช้งานที่สะดวกสบาย เน้นการทำงาน (เพื่อนๆ ลองคิดูว่าจะมีบริษัทไหนอีก ที่กล้าให้ฟีเจอร์ใหม่ๆ มาพร้อมกันแบบเทหมดตัก ในราคาที่ใกล้เคียงกับแบรนด์อื่นๆ) แต่หากจะพกไว้สำหรับถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอสวยๆ เพียงอย่างเดียว นี่อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด
สำหรับเพื่อนๆ คนไหนอ่านข้อมูลแล้ว รู้สึกประทับใจอยากเป็นเจ้าของ Pixel4 นี้ อาจจะหายากหน่อยในบ้านเรา ใกล้ที่สุดก็คงจะต้องไปหิ้วมาจากสิงคโปร์นู้นนนนนนน…..แต่ไม่ต้องถอดใจไป เพราะว่าถ้าของเขาดีจริงเหมือนข่าวที่ออกมา แอดเชื่อว่าอีกประเดี๋ยวก็คงเข้ามาไทยอย่างแน่นอน!!
ส่วนใครที่มีความคิดเห็นยังไงกับโทรศัพท์รุ่นนี้ ถูกใจหรือไม่ถูกใจตรงไหน สามารถเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับแอดได้ที่ใต้คอมเมนต์นี้เลย
แหล่งที่มา :https://www.theverge.com/platform/amp/2019/10/21/20923660/google-pixel-4-xl-review-camera-radar-face-unlock-90hz-display-telephoto