ในช่วงหลายๆ ปีมานี้เทคโนโลยีในโลกของเราก้าวล้ำขึ้นมาก มีการพัฒนาสิ่งหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากๆ แต่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ขนาดเล็ก ซึ่งก็คือ USB Type-C หรือ USB-C ครับ ปกติเราคงรู้จักกันแต่ USB-A หรือ B กันใช่ไม๊ครับ โดยวันนี้แอดมินจะมาอธิบายกันให้ได้รู้ว่า USB-C คืออะไรและเราควรเลือกซื้อกันแบบไหนถ้าพร้อมแล้วมาดูไปพร้อมๆ กันเลยครับ 🙂
ในยุคนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน IT หลายๆ แห่งไม่ว่าจะเป็น Dell , Raze , HP หรือ Apple ได้มีการพัฒนาและนำรูปแบบของ USB Type-C (USB-C) มาใช้ประโยชน์กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของบริษัทนั้นๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นพวก PC , Laptop , Smart Phone ล้วนใช้งานได้กับเจ้า USB ชนิดนี้ครับ หลายๆ คนคงสงสัยว่ามันคืออะไรกันหละเราจะมาคลายข้อสงสัยให้ครับ เจ้า USB-C ก็คือ พอร์ตเชื่อมต่อระหว่าง Smart Phone กับ PC ที่ถือเป็นรูปแบบมาตรฐานสากลในยุคใหม่ครับ สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้สูงถึง 10 Gbps ซึ่งเร็วกว่ารูปแบบเก่าๆ ถึงเท่าตัว รองรับการจ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูงถึง 20V, 5A ทำให้สามารถชาร์จแบตอุปกรณ์ต่างๆ ได้เร็วขึ้นอย่างสุดๆ และถูกออกแบบมาให้เสียบใช้งานได้ทั้ง 2 ด้านครับต่างจากแบบอื่นที่ต้องเสียบให้ถูกด้านจึงจะใช้งานได้
หลายคนก็คงอาจจะอยากรู้กันนะครับว่า อ่าวแบบนี้แล้วอุปกรณ์ที่เป็น USB แบบเก่าๆ หละจะสามารถใช้งานเจ้า USB-C ได้รึเปล่า คำตอบคือสามารถใช้งานได้นะครับแต่เราต้องมีตัว adapter ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ของเรากับเจ้า USB แบบนี้เพิ่มเติมนั่นเอง พอมาถึงตรงนี้ทุกคนคงคิดว่า ถ้ามันดีขนาดนี้เราก็ควรซื้อมาใช้กันสิทั้งถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า ชาร์จแบตได้เร็วกว่า แต่แอดมินขอเตือนก่อนนะครับว่า ณ ตอนนี้ถ้าเราซื้อสาย USB-C ราคาถูกๆ มาใช้แบบไม่คำนึงถึงคุณภาพเนี่ย อุปกรณ์ของเราที่เราซื้อมาตั้งแพงๆ เช่น MacBook ของเราอาจจะพังได้เลยนะครับ
กรณีตัวอย่าง การใช้งาน USB-C ที่ทำให้อุปกรณ์ของเราพัง คือ
คุณ Benson Leung วิศวกรของ Google นำสาย USB-C ราคาถูกที่ซื้อจากเว็บขายของออนไลน์ชื่อดัง มาใช้กับ Chromebook Pixel ของเขา
“หลังจากเสียบใช้งานสาย USB-C เครื่อง Chromebook Pixel ของผมถึงกับหยุดการทำงานแทบจะทันทีเลย
แม้จะถอดสาย และ ทำการ reboot เครื่อง เครื่องก็ไม่สามารถออกจากโหมดกู้คืนข้อมูลได้(เครื่องเสียหายไปแล้ว) โดยเครื่องไม่สามารถยืนยัน Embedded Controller (การควบคุมแบบฝังตัวของอุปกรณ์) ในระบบได้”
เห็นไม๊หละครับว่าการซื้อสาย USB-C ราคาถูกมาใช้อาจสร้างปัญหาให้เรามากกว่าการใช้งานที่ดีให้เรานะครับ
ปัญหาเกิดจากอะไร
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อเราเชื่อมต่อสายแบบ USB-C เช่น จาก Smart Phone รุ่นใหม่ๆ ที่ใช้งานสายแบบนี้ได้ ไปยังพอร์ตประเภท USB-A บน PC ของเรา Smart Phone ที่ใช้งาน USB-C ได้สามารถดึงไฟฟ้าได้ 3 Amps ในขณะที่พอร์ต USB ของ PC ให้กำลังไฟฟ้าต่ำกว่า 2 Amps สายที่มีคุณภาพต่ำทำให้ Smart Phone ของเราเข้าใจผิดว่าเชื่อมต่ออยู่กับแหล่งจ่ายไฟ 3 Amp และเมื่อโทรศัพท์พยายามดึงไฟ 3 Amp อาจทำให้เกิดความเสียหายภายใน PC ของเราขึ้นได้ครับ
ที่เรายังไม่ค่อยได้รับข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักเพราะว่าอุปกรณ์ที่เป็นพอร์ต USB-C ยังมีอยู่ไม่มากในตลาดยุคปัจจุบันครับ แต่การเปลี่ยนแปลงมาใช้พอร์ต USB-C ของอุปกรณ์ต่างในเร็วๆ นี้ ปัญหาแบบนี้อาจเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะสายพอร์ตที่ไม่ได้รับการออกแบบอย่างดีและถูกต้องอาจเกิดปัญหานี้ได้สูงมากครับ
มาตรฐาน USB-IF
สาย USB-C ที่ดีควรใช้โลหะชิ้นเดียวในการทำ แทนการใช้โลหะมาเชื่อมต่อกันครับ เหมือนที่เราเคยเห็นกันใน micro และ mini-USBs และจะให้ดีจริงๆ ควรมีการรับรองจาก USB-IF ครับ
โดยโปรแกรมของ USB-IF นั้นสามารถบอกอายุการใช้งานของสาย และจำลองสภาพหลังจากผ่านการใช้งานไป 3 ปีได้ครับ หน่วยงานUSB-IF มีสัญลักษณ์รับรองให้ผู้ผลิต ที่ทำสาย USB-C ผ่านการทดสอบของ USB-IF ด้วยนะ สัญลักษณ์อาจอยู่บนบรรจุภัณฑ์ของสาย หรือถ้าเราสั่งซื้ออนไลน์จากเว็บไซต์บนเว็บนั้นก็จะมีสัญลักษณ์นี้โชว์ครับ สัญลักษณ์นี้เทียบเท่ากับ “Made for iPhone” ของ Apple ซึ่งสามารถรับประกันความปลอดภัยสำหรับอุปกรณ์ของเราได้ แต่จะต่างกันตรงที่ USB-IF ไม่สามารถบังคับให้บริษัทผู้ผลิตต่างๆ ส่งสาย USB-C เพื่อทดสอบมาตรฐานได้เนื่องจากเพราะยังไม่ใช่หน่วยงานกำกับดูแลครับ
เป็นไงกันบ้างครับทุกคนกับความรู้เรื่องสาย USB-C ที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ทุกคนอย่าคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวนะครับเพราะอีกไม่กี่ปีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่เราใช้กันคงเปลี่ยนเป็นพอร์ตแบบนี้กันหมดแล้ว ดังนั้นในการเลือกซื้อสายอย่าลืมดูสายที่มีมาตรฐาน USB-IF แอดมินขอเตือนด้วยความหวังดีนะ อิอิ 😀
cr. ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก slrlounge.com ครับ :3