จินตนาการกันออกหรือไม่ ว่าชีวิตที่ปราศจากอินเตอร์เน็ตจะเป็นอย่างไร เพราะปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักมีเรื่องสัญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ตั้งแต่สั่งกับข้าว ซื้อกางเกง รวมไปถึงเติมเงินค่าโทรศัพท์ (อุ๊ย…พูดแล้วก็เขิน แอดยังใช้คำว่า “เติมเงิน” อยู่ รู้อายุเลย)
แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง เราก็กำลังอยู่ในยุคที่มีอัจฉริยะเป็นเพื่อนสนิท ที่ไม่ว่าจะไปไหนก็จะตามมาด้วย เสมือนเบจิต้ากับซน โกคู (เอิ่ม…สองคนนี้จะเรียกว่าเพื่อนกันได้รึเปล่าน่ะ?) บ้างก็แอบปลอมตัวเป็นกูรู ไว้ตอบคำถามปัญหาเชาว์ เรื่อง “สีเสื้อประจำวันอังคาร?” ” ป้ามหาภัยคือใคร” ส่วนตอนเราหลับ ก็ทำหน้าที่เป็นยาม เป็นแม่บ้าน เรียกได้ว่า เป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว….จริงๆ
ใช่แล้ว!! อัจฉะริยะที่แอดกำลังพูดถึง มีชื่อเรียกภาษาอังกฤษว่า Smart ที่เหลือก็แล้วแต่ว่ามัน จะถูกเอาไปผูกกับอะไร ถ้าอยู่ในโทรศัพท์ก็จะถูกเรียกว่า Smartphone ถ้าอยู่บนข้อมือก็ถูกเรียกว่า Smartwatch ส่วนถ้าอยู่ประจำบ้าน ไม่ออกไปไหนมาไหน ก็จะมีชื่อว่า Smarthome (แต่ถ้าจับคู่กับแอดเมื่อไหร่มันจะ “สมาร์ทมากครับ” หิ้ววววววว)
หลายๆ ตัวอย่าง ของเจ้า Smart ที่บอกมานั้น เชื่อว่าส่วนใหญ่คงรู้จักกันเป็นอย่างดี เว้นแต่กับ Smarthome นี่แหละ ที่รู้สึกว่ายังไม่ค่อยคืบหน้ากับประเทศของเราเท่าไร ส่วนมากจะคิดว่าเอาไว้เปิด-ปิดไฟ (ซึ่งก็ถูกแค่ส่วนหนึ่ง) แต่พอเอาเข้าจริงๆ แล้ว Smarthome ยังมีระบบอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่อีกเพียบ!!
ดังนั้นสำหรับใครที่ยังไม่เคยเห็น หรือรู้แค่ Concept คร่าวๆ วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้มาอัปเดตเรื่องราวของ “บ้านอัจฉะริยะ” มากขึ้น เห็นกันชัดๆ เป็นรูปธรรมเลยว่า ในต่างประเทศมันสามารถทำอะไรกันได้บ้าง
Smart Home และ Internet of Things
เท้าความอีกนิดก่อนเข้าเรื่อง แน่นอนว่า ถ้าจะให้พูดเรื่องบ้านอัจฉริยะเพียวๆ โดยไม่เอ่ยถึง IoT เลยก็คงไม่สนุก ไม่ได้รสอุมามิเสมือนโซ้ยก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าดัง แต่ไม่สั่งแคปหมูมาประกอบ (….ว่าไปนั่น กลับมาที่ IOT กันต่อ)
IoT หรือ Internet Of Things (ความหมายเดียวกัน) เป็นชื่อเรียกของยุคสมัยหนึ่ง-ปัจจุบัน ที่อุปกรณ์ต่างๆ มี RFID หรือ Sensor ติดไว้คอยประมวลผล ทำหน้าที่คล้ายสมองของมนุษย์ เพื่อวิเคราะห์และตอบสนองตามคำสั่ง โดยมันจะใช้อินเตอร์เน็ตเป็นตัวกลาง (แต่ถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องบอกว่าคลื่นสัญญาณซะมากกว่า) ในการรับ-ส่งข้อมูลไปยังแหล่งอื่นๆ ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่งการอุปกรณ์ได้ในระยะไกล หรือแม้กระทั่งตั้งค่าให้มันปฏิบัติการด้วยตัวมันเอง ซึ่งแน่นอนว่าอุปกรณ์ Smarthome ทั้งหลายแหล่ ก็ถูกจัดอยู่ในประเภทนี้เหมือนกัน
1.สั่งการเปิด-ปิดไฟรูปแบบใหม่ ไม่ต้องพึ่งสวิตช์
หลายคนคงเคยจะได้ยินหรือเห็นผ่านๆ ตากันมาบ้าง ตามหนัง-โฆษณาของต่างประเทศ กับการเปิดปิดไฟภายในบ้านผ่านแอปฯ ซึ่งมันค่อนข้างจะธรรมดาไปเลย เมื่อเทียบกับสั่งงานด้วยเสียง ผ่าน Virtual Assistant
แม้กระทั่งตัวสวิตช์ไฟที่ใช้ในบ้านยังมีลูกเล่น สามารถปรับให้เหมาะสมตามเวลาและการใช้งาน ช่วยประหยัดรายจ่ายไปอีก
2.ปรับอุณภูมิภายในห้อง
เจ้าเครื่องที่เพื่อนๆ กำลังเห็นอยู่นี้ (ในคลิปด้านล่าง) เป็น sensor สำหรับตรวจวัดและปรับอุณหภูมิภายในห้อง ให้เหมาะสมกับ lifestyle ของคนภายในครอบครัว ช่วยประหยัดพลังงานเวลาไม่มีใครอยู่ และจะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อมีคนมาถึง ซึ่งที่ต่างประเทศ เขาจะนิยมใช้ควบคุมความร้อนเป็นหลัก เพราะอากาศบ้านเขาเย็นจนแทบไม่ต้องเปิดแอร์
สำหรับพี่ไทยอาจจะต้องใช้อีกตัวหนึ่ง ที่ทำงานร่วมกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ คอยแจ้งเตือนว่า ห้องมันร้อนเกินไปแล้วนะ!!! เอ็ง…ควรปิดผ้าม่านและสั่งเปิดพัดลมเพื่อระบายอากาศได้แล้ว
3.กริ่งประตูอัจฉริยะ
อุปกรณ์น่าคบ ที่ควรหาติดไว้บนประตูสักอัน โดยเฉพาะกับบ้านที่ไม่มีหน้าต่าง หรือช่องสำหรับโผล่ออกมาดูว่าใครมาเยี่ยมเยียน เพราะมันมักจะมาพร้อมกับกล้อง สำหรับใช้สอดส่อง ที่สำคัญเมื่อมีคนมากดกริ่ง ระบบยังส่งแจ้งเตือนเข้ามาในโทรศัพท์ของเราอีกด้วย
4.ห้องครัวอัจฉริยะ
รวบเลยละกัน เพราะถ้าจะให้ร่ายยาวทั้งหมดแบบละเอียดในครั้งเดียว ก็กลัวว่าเพื่อนๆ ที่แวะเข้ามา จะเปิดวิชาเซียนหายตัวไปกันก่อนที่บทความนี้จะจบ โดยในส่วน Smart kitchen นี้ จะประกอบไปด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่เก็บรักษา ทำความสะอาด และปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นตู้อบหรือเตาแก๊ส ที่สามารถตั้งเวลาเปิด-ปิด กำหนดอุณภูมิความร้อนผ่านโทรศัพท์ จนไปถึงการแจ้งเตือนเมื่ออาหารปรุงเสร็จ
แม้กระทั่งในส่วนของตู้เย็น มันยังทำงานเชื่อต่อกับอินเตอร์เน็ต คอยแจ้งเตือนว่าปัจจุบันมีของอะไรเหลืออยู่ด้านใน สามารถใช้ดูปฏิทิน เปิดเพลง วาดรูป เรียกรถโดยสาร เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น ฯลฯ
5.Slide (Smart Curtain)
(ฮ่ะ….อะไรนะ หูไม่ฝาดใช่รึเปล่า!!!) ฟังไม่ผิดหรอกครับ มันคือผ้าม่านอัจฉริยะจริงๆ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในต่างประเทศ เพราะมันสะดวกมากๆๆๆ ทำให้เราไม่ต้องคอยเปิดปิดผ้าม่านเอง โดยเฉพาะบ้านหรือคอนโดที่มีม่านสูงๆ จะรู้ว่าเปิดปิดจากด้านล่างมันยาก
นอกจากนี้มันยังช่วยเพิ่มพื้นที่ความเป็นส่วนตัวให้กับครอบครัว สมาชิกคนอื่นๆ ไม่ต้องมาคอยนั่งกังวลว่า คนข้างนอกจะแอบมองเข้ามาเมื่อไหร่
เพราะด้วยระบบที่ทันสมัย ทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ เช่น โทรศัพท์หรือตัววัดอุณหภูมิ ทำให้มันสามารถกำหนดการเปิด-ปิดได้โดยอัตโนมัติ จะตั้งจากเวลาหรือสภาพอากาศภายในห้องก็แล้วแต่ความสะดวก
ปล.แดดแรงๆ ก็สั่งให้มันปิดก่อน จะได้ประหยัดค่าแอร์ไปในตัว